วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

ใบเหลียงผัดไข่


ใบเหลียงผัดไข่




ประวัติความเป็นมา
เหลียง เป็นผักพื้นบ้านภาคใต้ เป็นพืชยืนต้นที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1 - 2 เมตร มีใบเรียวยาว สามารถนำใบอ่อน และยอดมารับประทานได้ แต่ต้องทำให้สุก โดยนำมาปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น ผัดผักเหลียงใส่ไข่ แกงเลียงผักเหลียงใส่กุ้ง นำมาต้มกะทิ ใช้รองห่อหมก หรือลวกจิ้มน้ำพริก ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในภาคใต้
คุณค่าทางโภชนาการ
ผักเหลียง อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านออกซิเดชั่นที่สำคัญ ทั้งยังเป็นสารตั้งต้นสร้างวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ และมีค่าปริมาณแคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง ทำให้ช่วยบำรุงกระดูก และฟันให้แข็งแรง
ส่วนผสม
ใบเหลียง     100 กรัม         ไข่ไก่   2     ฟอง        กระเทียมกลีบเล็ก     10 กลีบ
น้ำมันพืชสำหรับผัด   2 ช้อนโต๊ะ            น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ             ซอสหอยนางรม  2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายเล็กน้อย




วิธีการทำ
1. ล้างใบเหลียงให้สะอาด ลิดก้านออก
2. ปอกเปลือกกระเทียม บุบพอแตกแล้วสับหยาบ
3. ตั้งกระทะ ใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมัน รอจนน้ำมันเริ่มร้อน ใส่กระเทียมลงผัดพอเหลืองหอมใส่ใบเหลียงลงผัด
4. ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม น้ำปลาและน้ำตาลทราย ผัดพอเข้ากัน
5. ตอกไข่ใส่ ใช้ตะหลิวยีให้ไข่แดงกับไข่ขาวผสมกัน รอให้ไข่ด้านล่างสุก จึงกลับด้าน รอไข่สุกทั่วจึงผัดให้ทั่วกันด้วยไฟแรงสักครู่
เหลียง เป็นผักพื้นบ้านภาคใต้ เป็นพืชยืนต้นที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1 - 2 เมตร มีใบเรียวยาว สามารถนำใบอ่อน และยอดมารับประทานได้ แต่ต้องทำให้สุก โดยนำมาปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น ผัดผักเหลียงใส่ไข่ แกงเลียงผักเหลียงใส่กุ้ง นำมาต้มกะทิ ใช้รองห่อหมก หรือลวกจิ้มน้ำพริก ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในภาคใต้

ผักกูดผัดน้ำมันหอย

ผักกูดผัดน้ำมันหอย








ประวัติความเป็นมา
ผักกูด เป็นพืชตระกูลเฟิร์นที่อยู่ในวงศ์ Athyriaceae เติบโตในฤดูฝนในที่โล่งแจ้งมีน้ำสะอาด และชื้นแฉะ สามารถนำยอดอ่อนมาปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด การนำมาผัดน้ำมันหอย เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ได้รับความนิยม เนื่องจากปรุงง่าย ได้รสอร่อย ได้คุณค่าอาหารสูง และรับประทานได้ทุกวัย
คุณค่าทางโภชนาการ
ผักกูด มีธาตุเหล็ก และเบต้า - แคโรทีนสูง เมื่อนำมาผัดน้ำมันที่ใช้ผัด จะช่วยละลายวิตามินเอในผักกูด ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินได้ดี ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และยังมีสรรพคุณแก้ไข้ตัวร้อน พิษอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงโลหิต ความดันโลหิตสูง
ส่วนผสม
ยอดผักกูด              2              ถ้วย         กระเทียมกลีบเล็ก 68     กลีบ        น้ำมันหอย            2              ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับผัด 2       ช้อนโต๊ะ               พริกไทยป่นเล็กน้อย





วิธีทำ

           1. ต้มน้ำให้เดือด นำผักกูดลงลวก ตักขึ้นแช่น้ำเย็นจัดทันที สะเด็ดน้ำพักไว้
              2. ตั้งกระทะใช้ไฟแรง ใส่น้ำมันพืช รอให้ร้อน

          3. ใส่ผักกูด และกระเทียมลงผัดปรุงรส ด้วยน้ำมันหอย และพริกไทยป่นผัดอย่างเร็ว ตักขึ้นเสิร์ฟทันที

ผัดกะปิสะตอกุ้ง

ผัดกะปิสะตอกุ้ง








ประวัติความเป็นมา
สะตอผัดกะปิ และกุ้ง เป็นอาหารใต้อีกตำรับหนึ่ง ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี และได้รับความนิยม เป็นอย่างสูง เพราะส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างรสชาติ ของสะตอ กะปิ และกุ้งสด และการปรุงที่เรียบง่ายแต่อร่อยล้ำ
คุณค่าทางโภชนาการ
กุ้ง เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี มีแคลเซียม และมีไขมันอิ่มตัวน้อย มีโอเมก้า มากกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ รวมทั้ง มีธาตุเหล็ก สังกะสี และวิตามินอีกด้วย รวมถึงมีคอเรสเตอรอล ชนิด HDL หรือไขมันดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนสะตอ เป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเช่นกัน มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก มิลลิกรัม วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และไนอาซีน ช่วยลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือด ยับยั้งการเจริญเติบโต ของแบคทีเรีย เชื้อรา ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ได้อย่างดี
ส่วนผสม
สะตอ     200 กรัม                กะปิดี 1 ช้อนโต๊ะ               กุ้งสดผ่าหลังวักเส้นดำออก               400 กรัม
กระเทียม               10 กลีบ  พริกชี้ฟ้าซอยละเอียด         6 เม็ด     หอมหัวใหญ่ซอยตามขวาง               1 หัว
น้ำตาล   2              ช้อนชา  น้ำปลา   2 ช้อนโต๊ะ            น้ำมะนาว             1              ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช              1/4 ถ้วย น้ำซุป     1              ถ้วย





วิธีทำ
1. สะตอแกะเม็ด หั่นครึ่งเม็ด แล้วนำมาแช่น้ำสักครู่
2. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพืช พอน้ำมันร้อนใส่กระเทียมกับพริกชี้ฟ้าลงไป ผัดจนหอม แล้วเติมน้ำซุปเล็กน้อย ใส่กะปิ ผัดให้เข้ากันจากนั้น จึงใส่กุ้งสดลงไปผัด
3. เมื่อกุ้งเริ่มสุก เติมหอมหัวใหญ่ และสะตอ ปรุงรสใส่น้ำปลา น้ำตาลทราย น้ำมะนาว และน้ำซุป ผัดให้เข้ากันอย่างรวดเร็ว ปิดไฟ และตักใส่เสิร์ฟ พร้อมข้าวสวย










ผัดเผ็ดปลาไหลพริกแกงไต

ผัดเผ็ดปลาไหลพริกแกงไต


ประวัติความเป็นมา
ปลาไหล เป็นปลาน้ำจืดที่กินเนื้อเป็นอาหาร มีลักษณะภายนอกคล้ายงู แต่เกล็ดจะมีขนาดเล็กแทบมองไม่เห็น และฝังอยู่ใต้ผิวหนัง มีลักษณะลื่น ครีบทั้งหมดมีขนาดเล็ก และสั้น มักจะซุกซ่อนตัวอยู่ในวัสดุใต้น้ำประเภทต่างๆ เช่น ปะการัง ก้อนหิน โพรงไม้ ปลาไหลมีเนื้อแน่นละเอียด รสชาติดี จึงได้รับความนิยมพอสมควร มักนำมาปรุงเป็นอาหารรสจัด ถึงเครื่องเทศ เพื่อดับกลิ่นคาว
คุณค่าทางโภชนาการ
ปลาไหล มีโปรตีนสูง และย่อยง่าย มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนเครื่องปรุงอื่นๆ เช่น ข่า มีแคลเซียม และเหล็กมาก นอกจากนั้นยังมี เกลือแร่ต่างๆ และวิตามินเอ วิตามินซี ส่วนพริกไทย มีสารฟินอลิกส์ และสารพิเพอรีน ซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และสารอัลคาลอยด์ ที่มีส่วนช่วยรักษา และป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ในผู้สูงอายุได้
ส่วนผสม
พริกแกงใต้           2              ช้อนโต๊ะ               ปลาไหลหั่นเป็นชิ้นบางลวกสุก       400 กรัม               
ใบกรูดฉีก              3 ใบ       พริกไทยอ่อน       5              ช่อ          ข่าซอยเป็นเส้น 2                ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ                                     น้ำมัน                             พืชสำหรับผัด 2 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสมพริกแกงใต้          พริกขี้หนูแห้ง      10 เม็ด   พริกขี้หนูสวน      15           เม็ด
ตะไคร้หั่นฝอย     3 ต้น      กระเทียมกลีบเล็ก                10 กลีบ
หอมแดง               2 หัว       ข่าหั่น     7 แว่น    ขมิ้นหั่นขนาด ยาว 2 นิ้ว   1              ท่อน
ผิวมะกรูดซอย      2              ช้อนชา  เกลือป่น                2 ช้อนชา             
พริกไทยเม็ด         1              ช้อนชา กะปิ 1     ช้อนชา





วิธีทำ
1. โขลกพริกกับเกลือให้ละเอียด ใส่เครื่องแกงที่เหลือ โขลกต่อจนส่วนผสมเครื่องแกงทั้งหมดละเอียด เติมกะปิโขลกให้เข้ากันดี เตรียมไว้
2. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย ใส่เครื่องแกงลงผัด
3. ใส่ปลาไหลผัดให้เข้ากัน ผัดเร็วๆ โดยใช้ไฟแรง
4. เติมใบมะกรูด ข่า และพริกไทยอ่อน ผัดให้เข้ากัน
5. ปรุงรสด้วยน้ำปลา ปิดไฟยกลง


ผัดเผ็ดสะตอกุ้ง



ผัดเผ็ดสะตอกุ้ง





ประวัติความเป็นมา
สะตอผัดกะปิและกุ้ง เป็นอาหารใต้อีกตำรับหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี และได้รับความนิยม เป็นอย่างสูง เพราะส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างรสชาติของสะตอ กะปิ และกุ้งสด ซึ่งเป็นวัตถุดิบในท้องถิ่นภาคใต้ ปรุงง่ายๆ ให้รสจัดตามแบบฉบับชาวใต้ เป็นอาหารจานเด็ดที่ถูกใจคนหลายภาค
คุณค่าทางโภชนาการ
กุ้งสด มีโปรตีน แคลเซียม และกรดไขมันอิ่มตัวน้อย มีโอเมก้า 3 มากกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ รวมทั้งมี ธาตุเหล็ก สังกะสี และวิตามินอีอีกด้วย รวมถึงมีคอเรสเตอรอล ชนิด HDL หรือไขมันดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนสะตอเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเช่นกัน มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก มิลลิกรัม วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และไนอาซีน ช่วยลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือดยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เชื้อรา ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ได้อย่างดี
ส่วนผสม
เครื่องแกง    1   ช้อนโต๊ะ   กุ้งขนาดกลางปอกเปลือกผ่าหลังชักเส้นดำออก   8-10   ตัว
สะตอแกะเอาเฉพาะเม็ดผ่าครึ่งลวกน้ำเดือด 1   ถ้วย         ใบมะกรูดฉีก 4    ใบ
พริกไทยสด      5     ช่อ          พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นแฉลบ   1  เม็ด
โหระพาเด็ดเป็นใบ     ½     ถ้วย         น้ำปลา   1   ช้อนโต๊ะ
น้ำมันสำหรับผัด 2   ช้อนโต๊ะ               พริกขี้หนูแห้ง      10 เม็ด   พริกขี้หนูสวน 15 เม็ด
ตะไคร้หั่นฝอย     3 ต้น      กระเทียมกลีบเล็ก  10 กลีบ  หอมแดง   2 หัว
ข่าหั่น     7 แว่น    ขมิ้นหั่นขนาด ยาว 2 นิ้ว   1              ท่อน
ผิวมะกรูดซอย      2      ช้อนชา  เกลือป่น 2 ช้อนชา   พริกไทยเม็ด   1    ช้อนชา
กะปิ 1    ช้อนชา




วิธีทำ
1. โขลกพริกกับเกลือให้ละเอียด ใส่เครื่องแกงที่เหลือ โขลกต่อจนส่วนผสมเครื่องแกงทั้งหมดละเอียดเติมกะปิโขลกให้เข้ากันดี เตรียมไว้
2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันรอให้ร้อนใส่พริกแกงลงผัดพอหอม
3. เติมสะตอ กุ้งและใบมะกรูด พริกไทยสด พริกชี้ฟ้าผัดพอสุก
4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่ใบโหระพา ปิดไฟยกลง